วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เครื่องมือช่างพื้นฐาน

เรื่อง เครื่องมือช่างพื้นฐาน
สาระสำคัญ
เครื่องมือแต่ละประเภทนั้นมีลักษณะการใช้งานที่ไม่เหมือนกัน ผู้เรียนจะต้องมีความเข้าใจและศึกษาการใช้เครื่องมือแต่ละประเภท ให้สอดคล้องเหมาะสมกับงาน การเรียนรู้เรื่องเครื่องมือช่างพื้นฐานก็เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้งานของเครื่องมือแต่ละประเภท และวิธีการดูแลรักษาเครื่องมือได้อย่างถูกวิธี และสามารถนำเครื่องมือไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน เกี่ยวกับการติดตั้ง ซ่อมแซมอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รายละเอียดสาระการเรียนรู้
เครื่องมือในงานช่างมีอยู่มากมายหลายชนิด แต่ละชนิดมีลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกันตามลักษณะงานของแต่ละประเภท เช่น งานไม้ งานโลหะ งานไฟฟ้า งานปูน งานประปา เป็นต้น เครื่องมือที่ใช้ในงานช่างพื้นฐาน สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
1. เครื่องมือประเภทตัด
เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับตัดไม้ หรือโลหะหรือวัสดุอื่นๆ เครื่องมือตัดที่ใช้ในงานช่างพื้นฐานมีหลายชนิดแล้วแต่การใช้งาน มีดังต่อไปนี้
1.1 เลื่อย เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับตัด ทำด้วยโลหะเป็นแผ่นบางๆ มีฟันเป็นซี่ ซึ่งเลื่อยที่นิยมใช้กันทั่วไป คือ
1.1.1 เลื่อนลันดา แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ เลื่อยตัดและเลื่อยโกรก เลื่อยตัดใช้ตัดไม้ตามขวางของเสี้ยนไม้ มีฟันถี่จำนวนฟัน 8 – 12 ซี่ต่อความยาว 1 นิ้ว เลื่อยโกรกใช้ตัดไม้ตามความยาวของเสี้ยนไม้ มีฟันถี่จำนวนฟัน 5 – 8 ซี่ต่อความยาว 1 นิ้ว
1.1.2 เลื่อยหางหนู ลักษณะใบเลื่อยเรียวยาวไปตลอดแนว ใช้ในงานฉลุ แต่งวัตถุรูปทรงกลม หรือส่วนโค้ง ที่มีความยาวไม่มากนัก
1.1.3 เลื่อยมือ เป็นเลื่อยที่ใช้ในงานโลหะเป็นส่วนใหญ่ ส่วนประกอบ คือ ตัวเลื่อยและใบเลื่อย ตัวเลื่อยเป็นโครงเหล็กมีด้ามหรือมือจับ ส่วนใบเลื่อยทำด้วยเหล็กกล้า ฟันเลื่อยมีทั้งชนิดละเอียดและหยาบ
การใช้และดูแลรักษาเลื่อย
1. ใช้ตะใบตกแต่งฟันเลื่อยอยู่เสมอ หลังจากทำความสะอาดซี่เลื่อยเรียบร้อยแล้ว
2. ถอดใบเลื่อยมือออกจากตัวเลื่อยเมื่อใช้งานเสร็จแล้ว
3. ทาด้วยน้ำมันเครื่อง เพื่อรักษาใบเลื่อยไม่ให้เป็นสนิม
4. เก็บใส่กล่องเพื่อรักษาความชื้นและเพื่อป้องกันสนิม

1.2 คีม เป็นเครื่องมือที่จำเป็นต้องใช้ในงานช่าง มีหลายรูปแบบ แตกต่างกันออกไปตามลักษณะของการใช้งาน คีมที่ใช้ในงานช่างพื้นฐาน แบ่งได้ 2 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
1.2.1 คีมสำหรับตัด เช่น คีมปากนกแก้ว ปากคีมมีความคมมาก ใช้สำหรับตัดลวดหรือตะปูที่มีขนาดใหญ่ไม่มากนัก
1.2.2 คีมสำหรับจับ มีลักษณะเป็นคีมปากยาวเรียวเล็ก ที่ปากคีมมีรอยฟันสำหรับไว้จับชิ้นงานเพื่อให้เกิดความกระชับไม่ลื่นหลุด
การใช้และดูแลรักษาคีม
1. เลือกคีมที่ใช้ให้เหมาะสมกับงาน
2. ทาด้วยน้ำมันเครื่อง เพื่อรักษาคีมไม่ให้เป็นสนิม
3. เก็บใส่กล่องเพื่อรักษาความชื้นและเพื่อป้องกันสนิม
1.3 กรรไกรตัดโลหะ ใช้สำหรับการปฏิบัติงานโลหะแผ่น เช่น แผ่นสังกะสี อลูมิเนียม แผ่นดีบุก เป็นต้น กรรไกรตัดโลหะมีหลายชนิด รูปร่างแตกต่างกัน กรรไกรที่นิยมใช้มี 2 ชนิด คือ
1.3.1 กรรไกรตัดตรง ใช้สำหรับตัดแผ่นโลหะในแนวตรง
1.3.2 กรรไกรตัดโค้ง หรือเรียกกันว่ากรรไกรปากเหยี่ยว ซึ่งมีลักษณะปากกรรไกรงอโค้งใช้สำหรับตัดแผ่นโลหะที่เป็นส่วนโค้งหรือวงกลม
การใช้และดูแลรักษากรรไกร
1. เลือกกรรไกรที่ใช้ให้เหมาะสมกับงาน
2. ทาด้วยน้ำมันเครื่อง เพื่อรักษากรรไกรไม่ให้เป็นสนิม
3. เก็บใส่กล่องเพื่อรักษาความชื้นและเพื่อป้องกันสนิม
1.4 เหล็กสกัด เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับตัดโลหะที่มีความหนามากๆ ให้ขาดออกจากกัน
การใช้และดูแลรักษาเหล็กสกัด
1. การจับและตอกสกัดด้วยค้อนควรระมัดระวัง เพราะอาจเกิดอันตรายได้
2. เลือกใช้เหล็กสกัดและค้อนที่ใช้ให้เหมาะสมกับงานที่ปฏิบัติ
3. ทาด้วยน้ำมันเครื่อง เพื่อรักษาสกัดไม่ให้เป็นสนิม
4. เก็บใส่กล่องเพื่อรักษาความชื้นและเพื่อป้องกันสนิม
2. เครื่องมือประเภทตอก
เครื่องมือประเภทตอก ได้แก่ ค้อน มีหลายชนิดขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของการใช้งาน ดังนี้
2.1 ค้อนหงอน ส่วนใหญ่ใช้กับงานช่างไม้ มีส่วนประกอบ 2 ส่วนคือ ส่วนหัวค้อนและด้ามค้อน ทำหน้าที่ตอกแลถอนตะปู
2.2 ค้อนหัวแบนและค้อนหัวกลม ใช้กับงานโลหะในการตอก ทุบ เคาะโลหะให้เป็นรูปทรงตามต้องการ
2.3 ค้อนเล็ก มีรูปร่างเล็ก น้ำหนักเบา ใช้ในงานตอกเข็มขัดรัดสายไฟฟ้า และงานไฟฟ้าทั่วไป
การใช้และดูแลรักษาค้อน
1. ก่อนการใช้งานควรตรวจสอบความเรียบร้อยของตัวด้ามและหัวค้อนให้แน่นและแข็งแรง
2. ถอนตะปูด้วยความระมัดระวัง
3. หลังจากใช้งานควรทำความสะอาดและเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย
3. เครื่องมือประเภทเจาะ
เครื่องมือประเภทเจาะ เช่น สว่าน เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเจาะรู การเลือกใช้สว่านและขนาดของดอกสว่างต้องศึกษาความเหมาะสมกับงาน สว่านมีหลายชนิดขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของการใช้งาน ดังนี้
3.1 สว่านอัตโนมัติ สว่านชนิดนี้ใช้กับงานช่างไม้และงานประดิษฐ์ชิ้นงานที่ต้องการความประณีต ราคาไม่แพง ใช้งานได้สะดวก ไม่ต้องออกแรงมาก ดอกสว่านมีหลายขนาด สามารถถอดเปลี่ยนใช้งานได้ตามต้องการ
3.2 สว่านข้อเสือ ใช้กับงานไม้ในการเจาะรูบนเนื้อไม้ที่มีความหนามากๆ
การใช้และดูแลรักษาสว่าน
1. ไม่ควรกดแรงเกิดไปเพราะจะทำให้ดอกสว่านหักได้
2. ทาด้วยน้ำมันเครื่อง เพื่อรักษาสกัดไม่ให้เป็นสนิม





แบบทดสอบเรื่อง งานช่างกับครอบครัว จำนวน 10 ข้อ









วิชางานช่างพื้นฐาน (รหัสง.33101) ระดับ มัธยมศึกษาปีที่...

เรื่อง งานช่างกับครอบครัว จำนวน 10 ข้อ

โดย อ. .. โรงเรียน...

คำสั่ง เลือก หรือ เติมคำตอบที่ถูกต้องที่สุด


ข้อที่ 1)
1. เมื่อนักเรียนใช้เครื่องมือช่างเสร็จแล้วขั้นตอนสุดท้ายควรทำอย่างไร

   รีบเก็บทันที

   ล้างทำความสะอาดและเช็ดให้แห้ง

   ชโลมน้ำมันและเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย

   ถูกทุกข้อ


ข้อที่ 2)
2. อุปกรณ์ใดไม่ใช่เครื่องมือสำหรับงานช่าง

   ตลับเมตร

   เลื่อย

   ฉาก

   เสียม


ข้อที่ 3)
3. ข้อใดเป็นการปฏิบัติงานช่างที่ถูกต้อง

   ใช้ไม้ตอกตะปู

   ใช้ไขควงเจาะรู

   ใช้ปากกาขีดเส้นบนไม้

   ใช้เลื่อยตัดไม้เพื่อเข้าฉาก


ข้อที่ 4)
4. กบใสไม้ที่ปรับคลองเลื่อยให้เรียบเรียกว่า

   กบล้าง

   กบผิว

   กบตัด

   กบโกรก


ข้อที่ 5)
5. ค้อนที่ใช้ในงานช่างไม้เรียกว่า

   ค้อนปอนด์

   ค้อนยาง

   ค้อนหงอน

   ค้อนโค้ง





งานช่างภายในบ้าน

เรื่อง  งานช่างภายในบ้าน 
สาระสำคัญ
            ปัจจุบันภายในครอบครัวมีเครื่องใช้และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ  ซึ่งการติดตั้งการดูแลรักษา  และการซ่อมแซม  จะต้องอาศัยความรู้  ทักษะ  ดังนั้นผู้ใช้จะต้องรู้จักส่วนประกอบและการใช้อย่างถูกวิธีจะช่วยให้  เครื่องใช้และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ  ได้อย่างคุ้มค่าและปลอดภัย
รายละเอียดสาระการเรียนรู้
1.        งานไฟฟ้า
งานไฟฟ้ามีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของประชาขนในปัจจุบันเป็นอย่างมากไม่ว่าจะ
เป็นการนำมาใช้กับเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ  ภายในบ้าน  หรือเกี่ยวกับอุตสาหกรรม  ดังนั้นการมีความรู้เกี่ยวกับหลักการ  วิธีการ  วัสดุอุปกรณ์และความปลอดภัย  จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
1.1         ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับไฟฟ้า
กระแสไฟฟ้า  เกิดจากการเคลื่อนที่ของอิเล็คตรอนจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งภายใน
ตัวนำไฟฟ้า 
ชนิดของกระแสไฟฟ้า  แบ่งออกเป็น  2  ชนิด  คือ
1.      ไฟฟ้ากระแสตรง  ได้แก่  ถ่านไฟฉาย  แบตเตอรี
2.      ไฟฟ้ากระแสสลับ  ได้แก่  ไฟฟ้าที่ใช้ตามบ้านเรือน
1.2         ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวงจรไฟฟ้า
วงจรไฟฟ้า  หมายถึง  ทางเดินของกระแสไฟฟ้าซึ่งไหลมาจากแหล่งกำเนิดผ่านไปยังตัวนำและเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือโหลด (     )  แล้วไหลกลับไปยังแหล่งกำเนิด  การต่อวงจรไฟฟ้าเราสามารถต่อได้หลายวิธี  ดังนี้
         1.  การต่อไฟฟ้าแบบอนุกรม  เป็นการนำเอาตัวต้านทานแต่ละตัวมาต่อกันโดยเอาปลายด้านหนึ่งต่อกับปลายอีกด้านหนึ่งต่อเรียงไปเรื่อยๆ  การต่อไฟฟ้าแบบอนุกรมส่วนใหญ่จะไม่นิยมใช้ในการต่อวงจรทั่วไป 
         2.  การต่อวงจรไฟฟ้าแบบขนาน  การนำเอาตัวต้านทานแต่ละตัวมาต่อคร่อมกันไปเรื่อยๆ  จนครบวงจร  การต่อวงจรไฟฟ้าแบบขนานเป็นการต่อวงจรที่ใช้ทั่วไปกับไฟฟ้าแสงสว่างและเครื่องใชไฟฟ้าภายในบ้าน
         3.  การต่อวงจรไฟฟ้าแบบผสม  โดยการนำแบบอนุกรมและขนานต่อรวมเข้าในวงจรเดียวกัน  การต่อวงจรไฟฟ้าแบบผสมนิยมใช้กับวงจรอิเล็กทรอนิกส์
 
1.3         วัสดุอุปกรณ์
วัสดุและอุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้านเรือน  มีดังนี้
1.      สายไฟฟ้า  เป็นตัวนำกระแสไฟฟ้าไหลผ่านไปยังอุปกรณ์ไฟฟ้าจนครบวงจร  สายไฟฟ้าแบ่งออกได้  2  ชนิด  คือ  สายเปลือย  และสายหุ้มฉนวน
การเลือกใช้ขนาดสายไฟฟ้าในบ้าน
ขนาดพื้นที่หน้าตัดของสาย
(ตร.มม.)
ทนกระแสไฟฟ้า
(แอมแปร์)
การนำไปใช้งาน
0.5
4
สายต่อชั่วคราว
1.0
6
ดวงโคม
1.5
8
สายปลั๊ก
2.5
14
สายเมนวงจรแสงสว่าง
4.0
19
สายเมนย่อยภายใน
6.0
27
สายเมนภายในบ้าน
10
35
สายเมนภายนอกบ้าน


2.      เข็มขัดรัดสาย  ทำด้วยอลูมิเนียม  มีรูตรงกลาง  1 2  รู  แล้วแต่ขนาดของเข็มขัดรัดสาย
ซึ่งมีขนาดเบอร์ต่างๆ  ตั้งแต่เบอร์ 0 6  รูตรงกลางใช้สำหรับตอกตะปูยึดกับฝาผนัง
3.      ตุ้มหรือลูกถ้วย  ใช้สำหรับเดินสายภายนอกอาคาร  เพื่อยึดสายให้แน่น
4.      กล่องแยกสายไฟ  มีลักษณะเป็นกล่องสี่เหลี่ยม  มีทั้งชนิดเป็นไม้  โลหะ  หรือพลาสติก 
ใช้สำหรับต่อแยกสายไฟเพื่อนำไฟไปยังจุดต่างๆ
5.      เทปพันสายไฟ  ทำด้วยวัสดุหลายอย่าง  เช่น  ยาง  พีวีซี  ใช้สำหรับพันสายไฟเมื่อต่อสาย 
เพื่อป้องกันไฟฟ้าไม่ให้รั่ว
6.      ฟิวส์  เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ต่อไว้เพื่อป้องกันกระแสไฟฟ้าไม่ให้ไหลเข้ามาเกินพิกัดของ
ขนาดสายไฟฟ้า  เพราะฟิวส์จะหลอมละลายตัดทางเดินของกระแสไฟฟ้า  ฟิวส์มีหลายชนิดและหลายขนาด  ได้แก่  ฟิวส์ก้ามปู  และปลั๊กฟิวส์
7.      คัตเอาต์  เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ทำหน้าที่ตัดต่อกระแสไฟฟ้าในวงจร  ใช้ควบคู่กับฟิวส์เส้น
ลวด
8.      ปลั๊ก  เป็นอุปกรณ์ที่ต่อกระแสไฟฟ้าชั่วคราวไปยังอุปกรณ์ไฟฟ้า  แบ่งได้  2  ชนิด  คือ 
ชนิดเต้าเสียบหรือปลั๊กตัวผู้และชนิดเต้ารับหรือปลั๊กตัวเมีย
9.      สวิทซ์  เป็นอุปกรณ์ตัดต่อวงจรไฟฟ้า  ส่วนใหญ่ใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าแสงสว่างภายใน
บ้านเรือน
10.  หลอดไฟฟ้าชนิดเปล่งแสงออกจากไส้  เรียกกันโดยทั่วไปว่า  หลอดดวงเทียน  เป็น
หลอดไฟฟ้าชนิดแรกที่มนุษย์สร้างขึ้นมา  มีส่วนประกอบที่สำคัญ  ดังนี้
1.   หลอดไฟฟ้า  มีลักษณะเป็นหลอดแก้ว  ทำหน้าที่หุ้มไส้หลอดและแก๊ซเฉื่อย
2.   แก๊ซเฉื่อย  เป็นแก๊ซที่บรรจุอยู่ภายในไส้หลอด  ที่นิยมใช้มี  2  ชนิด  คือ  แก๊ซ
ไนโตรเจนและแก๊ซอาร์กอน
3.   ไส้หลอด  ทำด้วยทังสเตนซึ่งเป็นโลหะที่ทนความร้อนสูง
4.   สายค้ำและสายยึดไส้หลอด  ทำหน้าที่ยึดไส้หลอดให้อยู่กับที่
5.   ตัวยึดสายค้ำไส้หลอด  ใช้แท่งแก้วเป็นตัวยึด  โดยหลอมแท่งแก้ทับสายค้ำไส้หลอดอีก
ชั้นหนึ่ง
6.   ขั้วหลอด  มี  2  ลักษณะ  คือ  แบบเกลียวและแบบเขี้ยว  ทำหน้าที่รับและจ่าย
กระแสไฟฟ้าให้กับไส้หลอด

       11.  หลอดฟลูออเรสเซนต์  หลอดชนิดนี้ออกแบบมาเพื่อใช้ในอาคารบ้านเรือน  ให้กำลังส่องสว่างมากกว่าหลอดชนิดที่เปล่งแสงออกจากไส้  และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานหลอดฟลูออเรสเซนต์มีส่วนประกอบดังนี้
1.  ตัวหลอด  ทำด้วยแก้วใส  ภายในเคลือบสารเรืองแสงฟอสเฟอร์  ซึ่งทำหน้าที่เปลี่ยน
รังสีอัลตราไวโอเลตเป็นแสงสว่าง
                2.  ขั้วหลอด  ทำหน้าที่ต่อกระแสไฟฟ้าจากภายนอกเข้าภายในหลอด
                3.  ไส้หลอด  ทำหน้าที่กระจายอิเล็กตรอน
                4.  สารบรรจุภายในหลอด  ได้แก่  ก๊าซอาร์กอน  และไอปรอท

         การนำหลอดฟลูออเรสเซนต์มาใช้งาน  ต้องใช้ควบคู่กับสตาร์ตเตอร์และบัลลาสต์  สตาร์ตเตอร์  จะทำหน้าที่ต่อวงจรในช่วงแรก  จนอิเล็กตรอนกระจายทั่วหลอดแล้วจะหยุดทำงาน  ส่วนบัลลาสต์จะทำหน้าที่ปรับแรงดันไฟฟ้าให้พอดีกับไส้หลอด  ในการใช้บัลลาสต์นั้นจะต้องใช้ให้เหมาะกับหลอดด้วย  เช่น  หลอดขนาด  20  วัตต์  ต้องใช้กับบัลลาสต์ขนาด  20  วัตต์  เป็นต้น

2.     งานประปา
ระบบประปาในอาคารบ้านเรือน  เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งมีผลต่อสุขภาพและอนามัยของผู้อาศัย 
ช่างประปาจึงต้องมีความเข้าใจในการอ่านแบบ  วิธีการต่อท่อ  มีความสามารถในการซ่อมแซม  และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
         2.1  วัสดุและอุปกรณ์งานช่าง
         งานประปามีวัสดุและอุปกรณ์มากมายหลายอย่าง  สำหรับงานช่างในบ้านมีวัสดุและอุปกรณ์  ดังนี้
                1.  ท่อประปา  เป็นอุปกรณ์สำหรับนำน้ำไปยังจุดต่างๆ  ตามที่ต้องการใช้แบ่งออกเป็น  2  ชนิด  คือ
                1.1  ท่อพลาสติก  หรือ  ท่อพีวีซี  เป็นวัสดุสังเคราะห์ที่นิยมใช้กันมากในงานประปา  เพราะราคาถูก  ติดตั้งง่าย  มีน้ำหนักเบา  ผิวท่อมีความลื่นดี  การต่อท่อใช้ข้อต่อและน้ำยาประสานเป็นตัวเชื่อม  หรือแบบเกลียวก็ได้ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน
                1.2  ท่อโลหะ  ทำด้วยเหล็กเคลือบดีบุกผสมสังกะสี  สามารถทนแรงกระแทกได้ดี  แข็งแรง  ทนทาน  ในการติดตั้งต้องใช้ข้อต่อชนิดเกลียวและเทปพันเกลียวช่วยป้องกันการรั่วบริเวณรอยต่อ
                2.  ข้อต่อ  เป็นส่วนประกอบในการต่อท่อ  มีขนาดต่างๆ  กัน  ใช้ในการเปลี่ยนทิศทางของน้ำประปา  หรือใช้อุดปลายท่อเมื่อทางเดินท่อสิ้นสุดลง  ข้อต่อมีทั้งชนิดที่ทำด้วยพลาสติกและโลหะ
                3.  น้ำยาประสาน  ใช้ในการต่อเชื่อมท่อกับข้อต่อต่างๆ  ของท่อพลาสติก
                4.  เทปพันเกลียว  ช่วยป้องกันการรั่วบริเวณรอยต่อ
         2.2   การต่อท่อ
                   การต่อประกอบท่อ  เพื่อจ่ายน้ำ  หรือต่อเข้ากับสุขภัณฑ์  โดยวัสดุท่อชนิดต่างๆ  ตามความเหมาะสม  ต้องคำนึงถึงความคงทนถาวร  ประหยัด  อุปกรณ์และค่าใช้จ่าย
         หลักการต่อท่อ
1.      สำรวจทางเดินของท่อและเขียนบันทึกไว้อย่างละเอียด
2.       พยายามใช้ท่อให้สั้นที่สุด  และสะดวกในการใช้มากที่สุด
3.       หลีกเลี่ยงการใช้ข้องอและสามทางเนื่องจากจะทำให้แรงดันลกลง
4.       การขันเกลียวข้อต่อต่างๆ  ไม่ควรขันแน่นเกินควร
5.       การต่อท่อพีวีซี  ควรเช็ดทำความสะอาดและทิ้งไว้ให้แห้ง  ก่อนทาน้ำยาประสาน
6.       เลือกใช้ท่อให้เหมาะสมกับสภาพบริเวณ  เช่น  ที่เปียกชื้น  เดินฝังดิน  ควรใช้ท่อพีวีซี
7.       หากท่อเมนประปาอยู่ไกล  ควรใช้ท่อลดขนาด 
2.         งานไม้
งานไม้เป็นงานที่สำคัญอีกประเภทหนึ่งภายในบ้าน  ใช้ซ่อมแซมและดัดแปลงอุปกรณ์ 
เครื่องใช้  หรือเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้าน  เป็นการประหยัดรายจ่ายภายในครอบครัว
         3.1  วัสดุและอุปกรณ์งานไม้
                1.  ไม้  ไม้ที่ใช้ในปัจจุบันมีหลายชนิด  แต่ละประเภทจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน  ดังนั้นในการนำไม้มาใช้งานควรจะพิจารณาชนิดของไม้ที่จะใช้งาน  ชนิดของไม้แบ่งออกได้ดังนี้
                                1.1  ไม้เนื้อแกร่ง  ได้แก่  ไม้ที่มีลักษณะสีเข้มจนถึงสีดำ  เนื้อไม้แข็งมาก  ใช้เครื่องมือตกแต่งได้ยาก  เป็นไม้ที่มีน้ำหนักมาก  ใช้งานได้ดี  คงทน  เนื้อไม้เป็นมันในตัว  ขัดมันได้แวววาว  เช่น  ไม้ชิงชัน  ไม้ประดู่  เป็นต้น
                1.2  ไม้เนื้อแข็ง  ได้แก่  ไม้ที่มีลักษณะสีค่อนไปทางสีแดง  เนื้อไม้แข็งปานกลาง  ใช้เครื่องมือตกแต่งได้ไม่ยากนัก  มีน้ำหนักพอประมาณ  ใช้งานได้ดี  เช่น  ไม้ตะเคียน  ไม้แดง  ไม้มะม่วง  เป็นต้น
                1.3  ไม้เนื้ออ่อน  ได้แก่  ไม้ที่มีลักษณะสีอ่อนซีด  เนื้อไม้อ่อนใช้เครื่องมือตกแต่งได้ง่าย  เป็นไม้ที่มีน้ำหนักเบา  ใช้กับงานที่ไม่ต้องรับน้ำหนักมาก  เช่น  ไม้ยางพารา  ไม้ฉำฉา  เป็นต้น
                2.  ตะปู  เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ยึดไม้ให้ติดกัน  สามารถรับแรงต่างๆ  ได้เป็นอย่างดี  มีหลายชนิด  หลายขนาด  ทั้งชนิดหัวแบนราบ  หัวนูน  ตัวอ้วน  ผอม  ยาว  สั้น  แล้วแต่ความหนาของไม้และความต้องการที่จะใช้  ขนาดของตะปู  มีความยาวตั้งแต่  ¼ - 6  นิ้ว
                3.  ตะปูเกลียว  เป็นตะปูอีกชนิดหนึ่งที่ใช้กับงานไม้  โดยไม่ต้องใช้ค้อนตอก  ลักษณะของหัวมีหลายแบบ  คือ  หัวกลม  หัวราบ  หัวเหลี่ยม  หัวรูปไข่  มีขนาดต่างๆ  กัน  การใช้ตะปูเกลีนวควรใช้ให้เหมาะสมกับงาน  คือ
                3.1  หัวกลม  ใช้สำหรับส่วนที่ต้องการโชว์หัวตะปูให้เห็น
                3.2  หัวราบ  ใช้สำหรับงานที่ต้องการความเรียบของผิวงาน 
                3.3  หัวเหลี่ยม   ใช้สำหรับส่วนที่ต้องการโชว์หัวตะปูให้เห็นเช่นเดียวกับหัวกลม
                3.4  หัวรูปไข่  เหมาะกับงานจับยึดเชิงผนังหรืองานที่ต้องการความสวยงาม
                3.5  หัวแฉก  ใช้กับงานเฟอร์นิเจอร์
         4.   การต่อและการเข้าไม้
                การต่อไม้  คือ  การทำให้ไม้ยาวขึ้น  โดยการนำไม้วางไปในทางทิศเดียวกัน  แล้วเชื่อมเข้าด้วยกัน  วิธีง่ายๆ  คือ  เอาไม้วางซ้อนกันแล้วตอกด้วยตะปู  การนำไม้มาวางทับซ้อนกันให้หนาขึ้น  เรียกว่า  การเสริมไม้  และการนำไม้มาเรียงกันให้กว้างขึ้น  เรียกว่า  การเพลาะไม้
                การเข้าไม้  คือ  การเอาไม้มาชนกันทำให้เกิดมุมขึ้น  จะเป็นมุมฉากหรือไม่ก็ตาม
                วิธีการต่อไม้  มีการต่อ  3  วิธี  คือ
1.      การต่อมีเดือยหรือมีแกน  การต่อแบบนี้มีความแข็งแรงพอใช้  แกนหรือเดือยจะช่วยยึด
ไม้ให้เชื่อมกันมั่นคง
2.       การต่อแบบบาก  การต่อแบบนี้มี  2  วิธี  คือ  บากครึ่งต่อครึ่งเป็นแนวตรง  ถ้าบากซ้อน
กันมากจะทำให้แข็งแรงยึดเหนี่ยวกันได้มากยิ่งขึ้น  ปกติจะบากประมาณ  1 2  เท่าของหน้ากว้าง  และอีกวิธีหนึ่ง  คือ  การต่อบากแบบรูปหางเหยี่ยว  แล้วตรึงด้วยตะปูเกลียวหรือสลัก
3.       การต่อดาม  การต่อแบบนี้ตั้งซ้อนกันเฉยๆ  แต่มีไม้หรือเหล็กดามทั้ง  2  ข้าง  แล้วใช้
ตะปูหรือตะปูเกลียวตรึงป้องกันไม่ให้พลาดออกจากกัน  เป็นวิธีต่อที่แข็งแรงที่สุดแต่มองดูไม่สวยงาม